บทที่ 4 ทำตามใจตัวเองไปเถอะ จนกว่าคุณเองจะพร้อมปฏิบัติตามกฎเหล็ก
- คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหม หากชายที่คุณมีเซ็กซ์ด้วยไม่เคยส่งข้อความมาหาคุณก่อนเลย
- คุณรู้สึกสนุกและท้าทายเวลาที่ผู้ชายโทรมาชวนออกเดทในนาทีสุดท้าย และไม่ได้คิดว่านั่นแปลว่าคุณคือตัวสำรองของเขา
- คุณเคยขอให้ผู้ชายอยู่ต่อ และเมื่อเขาปฏิเสธ คุณก็แค่ยักไหล่อย่างไม่แคร์หรือเปล่า
- คุณยังคงออกเดทกับผู้ชายคนเดิมที่เคยพูดว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่ “มองหาความสัมพันธ์แบบจริงจัง” แถมยังคบผู้หญิงอื่นไปพร้อมๆ กับคุณอยู่หรือเปล่า
- ทุกครั้งที่แม่หรือเพื่อนของคุณแนะนำหนังสือกฎเหล็ก ให้คุณอ่าน คุณมักจะพูดว่า “ฉันเรียนจบ MBA นะจ๊ะ ไม่ต้องมีใครมาบอกให้ฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้หรอก”
หากคำตอบของคุณคือใช่ในข้อใดข้อหนึ่งด้านบนนี้ล่ะก็ จงทำอย่างที่คุณทำอยู่ต่อไปเถอะ หนังสือเล่มนี้อาจจะไม่เหมาะ กับคุณ--อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ ที่เราจะพูดก็คือหากตอนนี้คุณยังสนุกกับการแหกกฏอยู่ ก็ทำต่อไป คอยสะกดรอยตามผู้ชาย โพสหน้าวอลล์ Facebook ของเขาทุกวัน ขึ้นเครื่องบินไปหาเขา ส่งข้อความไปตอนตีสองเพื่อบอกเขาว่าคุณคลั่งเขาขนาดไหน สนุกสนานกับชีวิตของคุณให้เต็มที่ แสดงออกให้สุดเหวี่ยง แก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าให้สุด!
ยอมรับเถอะว่าสาวๆในวัยมหาวิทยาลัยไม่ต้องการกฏเกณฑ์ใดๆทั้งนั้นมาบงการ ยิ่งเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ด้วยแล้ว พวกเธออยาก ทำตามใจตัวเอง พวกเธอไม่ได้คิดถึงแหวน ถึงพิธีแต่งงาน ถึงเรื่องการมีลูก แล้วทำไมต้องยอมแลกความสนุกชั่วครั้งชั่วคราว กับอะไรที่จริงจังและยืนยาวล่ะ พวกเธอยังไม่ได้คิดถึงอนาคตระยะยาวด้วยซ้ำ ชีวิตของพวกเธอช่วงนี้คิดถึงแต่เรื่องเรียน ปาร์ตี้ และลุ้นให้เรียนจบให้ได้ก็เท่านั้น! พวกเธออยากทดลองอะไรใหม่ๆ ในเรื่องเซ็กซ์ เหล้าหรืออาจจะยาด้วยในบางครั้ง พวกเธอไม่ได้ ต้องการ อะไรที่ซีเรียสจริงจังในตอนนี้ เธอก็แค่อยากจะหว่านเสน่ห์กับผู้ชายที่ถูกใจตั้งแต่แรก ไม่ใช่มานั่งรอให้ผู้ชายสักคนเข้ามา เปิดบทสนทนาด้วย และผู้ชายที่พวกเธอสนใจในตอนนี้ก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะเป็นสามีที่ดีพร้อมหรอก กลับกัน พวกเธอเลือก ที่จะเชื่อฟังฮอร์โมนที่พุ่งพล่านเมื่อได้รับโทรศัพท์ผู้ชายชวนออกไปมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน พวกเธอต้องการทำตามอารมณ์ ตัวเองมากกว่าจะมานั่งทำตัวเป็นกุลสตรี จะมามัวแต่ทำตามกฎเหล็กน่าเบื่อทำไมในเมื่อคุณยังอายุน้อย โลกทั้งใบยังรอให้คุณค้นหา ทำไมไม่ปลดปล่อยตัวเองให้สนุกเต็มที่ก่อนล่ะ
เราเข้าใจทั้งหมดที่ว่ามา! กฎเหล็กไม่ได้มีไว้สำหรับผู้หญิงที่ต้องการสนุกกับชีวิต แต่มีไว้สำหรับผู้หญิงที่เคยเจ็บปวดและสิ้นหวังกับความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวมาแล้ว มีไว้สำหรับผู้หญิงที่โทรหาเพื่อนสนิท หันไปพึ่งจิตแพทย์หรือนักบำบัด หรือแม้กระทั่งหันมาพึ่งเราเมื่อความสัมพันธ์จบลง พวกเธอเหล่านี้ไม่ต้องการความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวอีกต่อไป แต่พวกเธอต้องการความรักที่มั่นคง จริงจัง ความสัมพันธ์ที่จะไม่ทำร้ายพวกเธออีก หากคุณยังไม่ได้รู้สึกแบบนี้ก็สนุกต่อไปเถอะ: ส่งข้อความหาผู้ชายตอนกลางคืน ไม่ก็จับเครื่องบินไปหาผู้ชายที่คุณเพิ่งแอดเป็นเพื่อนใน Facebook หรือคนที่คุณเห็นว่าโพรไฟล์ของเขาน่าสนใจ
เรามักจะได้รับอีเมลล์จากผู้หญิงที่มองว่าเพื่อนหรือพี่น้องของเธอควรจะใช้กฎเหล็กในความสัมพันธ์ ในอีเมลล์มักจะมีเนื้อหาว่า “เธอยอมให้อภัยผู้ชายที่นอกใจเธอ ฉันว่าเธอต้องใช้กฎเหล็กจริงๆนะ!” หรือไม่ก็ “เธอสามสิบแล้วนะ แต่ยังเดทผู้ชายคนเดิมที่คบมาหกปีแต่ไม่ยอมขอแต่งงานอยู่เลย เธอควรจะรีบทำอะไรสักอย่างได้แล้ว” หรือ “เพื่อนที่ทำงานของฉันคบอยู่กับผู้ชายที่แต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะหย่าในเร็วๆนี้ด้วย ฉันไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เธอน่าจะได้อ่านกฎเหล็กนะ” บางครั้งเราได้รับอีเมลล์จากคุณแม่ที่กำลังกังวลเกี่ยวกับลูกสาว เขียนมาว่า “ลูกสาวฉันมักจะเป็นฝ่ายไล่ล่าวิ่งตามผู้ชายและจบลงที่การเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันกลัวว่าคนอื่นจะมองเธอในภาพลบ คุณช่วยเธอได้ไหม” เราเคยได้รับอีเมลล์จากสาวๆที่ชื่นชอบการอ่านข่าวบันเทิงก๊อซสิปที่บอกว่า “ไม่อยากเชื่อเลยว่าดาราคนโปรดของฉันจะย้ายเข้าไปอยู่กับพระเอกคนนั้นเร็วอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะทิ้งเธอ แหม เธอน่าจะได้อ่านกฎเหล็ก บ้างนะ!” เชื่อไหมว่ากลุ่มแฟนเพจกฎเหล็กใน Facebook ยังพูดกันเลยว่า หนังสือกฎเหล็ก ควรจะเป็นคู่มือติดตัวสาวๆทุกคนตั้งแต่แรกเกิด หรือต้องมีทุกคนในช่วงวัยรุ่น ไม่ก็บรรจุในตำราเรียนตอนมัธยมเลยด้วยซ้ำ!
เราเข้าใจดีว่ามันน่าหงุดหงิดเพียงใดที่ต้องทนเห็นเพื่อนๆ สมาชิกในครอบครัว หรือแม้แต่ดาราที่เรารักทำเรื่องผิดพลาดในความสัมพันธ์ของพวกเธอ ทั้งๆที่พวกเธอน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่สิ่งที่เราจะบอกพวกเขา ก็เหมือนที่เราจะบอกพวกคุณก็คือ กฎเหล็ก มีไว้สำหรับผู้หญิงที่อยากจะใช้มัน ไม่ใช่ผู้หญิงที่จำเป็นต้องใช้มัน การทำตัวให้มีคุณค่า และเคารพตัวเองทุกครั้งที่เริ่มออกเดทไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ และมักไม่มีใครทำจนกว่าจะเจอความสัมพันธ์แย่ๆเสียก่อน
หากผู้หญิงสักคนซื้อหนังสือกฎเหล็กไปอ่าน หรือโทรมานัดเราเพื่อขอคำปรึกษา มันไม่ใช่เพราะว่าเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันนั้นแล้วนึกได้ว่า “ฉันว่าฉันเป็นหญิงกฎเหล็กดีกว่าวันนี้” และไม่ใช่เพราะว่าพวกเธอว่างมากหรือไม่มีอะไรทำ แต่เป็นเพราะพวกเธอเพิ่งเจ็บปวดกับความสัมพันธ์ที่พังทลายลงไป หรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยกับการหลงรักผู้ชายผิดคน และต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง พวกเธอต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และอับอายมานานหลายปี เมื่อความรักครั้งนี้จบลงนั่นคือฟางเส้นสุดท้าย แฟนของเธอนอกใจรอบที่สิบ หรือผู้ชายที่เธอเดทด้วยมาห้าปีไม่เคยพูดเรื่องแต่งงาน หรือผู้ชายที่เธอคบด้วยไม่หย่ากับภรรยาสักที และพวกเธอก็ตัดสินใจจะเลิกทน! พวกเธอเหนื่อยหน่ายกับการรอ การสะกดรอยตาม และการฝันเฟื่องถึงความสัมพันธ์จอมปลอม พวกเธอเบื่อกับความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่ไม่มีความมั่นคงทางจิตใจ เบื่อที่จะต้องไปงานแต่งงานลูกพี่ลูกน้องแบบฉายเดี่ยว เบื่อที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกทิ้ง
มีบางกรณี สาวๆติดต่อมาหาเราเพราะเธอเจอกับชายในฝัน และไม่อยากจะทำพลาดอีก หลังจากที่ได้แหกกฎเหล็กและเสียเวลากับผู้ชายแย่ๆมาหลายปี ในที่สุดเธอก็เจอหนุ่มน่ารักคนนี้ และหลังจากจูบแรกของเธอและเขา วินาทีต้องมนต์ก็เกิดขึ้น! เธอตระหนักได้ในตอนนั้นว่าเธอต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง จริงจัง ไม่ใช่แค่การส่งข้อความจีบกันและเซ็กซ์ที่ไม่มีความหมาย เธอไม่อยากทำพลาดด้วยการแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป (“คืนนี้คุณว่างไหมคะ ฉันบังเอิญมีตั๋วคอนเสิร์ตสองใบพอดี”) หรือเรียกร้องมากเกินไป (“ฉันจะได้เจอคุณอีกเมื่อไหร่คะ”) เธอคิดว่า “ไม่ได้การละ ฉันจะทำพังไม่ได้ ต้องมีแผน!” และนั่นแหละคือตอนที่ผู้หญิงอย่างเราจะหยุดสนุกกับการไล่ล่าผู้ชาย และพร้อมสำหรับกฎเหล็ก เสียที
ตามธรรมชาติแล้วเราเข้าใจว่าหากเด็กสาววัยรุ่นอ่านหนังสือเล่มนี้พวกเธออาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะพวกเธออยู่ในสังคมที่เพื่อนๆมีเบอร์หนุ่มๆทั้งชมรมในมือถือและพร้อมจะเมาหรือนัวเนียกันตลอดเวลา--โดยไม่ต้องออกเดทให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ! พวกเธอยังอยู่ในช่วงเวลาค้นหาตัวเอง ลองไปบอกนักศึกษาปีสองดูสิว่า “ดื่มแค่แก้วเดียวนะ” และ “รอให้เขาจริงจังกับเธอก่อนค่อยมีเซ็กซ์” หรือ “อย่าไปโพสหน้าวอลล์เขาเลย” ดูซิ ว่าเธอจะเชื่อคุณไหม เราเคยได้รับเชิญไปพูดที่มหาวิทยาลัย ที่นั่น เด็กๆบอกเราว่าการทำตามกฎเหล็กเป็นเรื่องที่ยากมาก โดย
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอยู่ในสังคมที่เพื่อนสาวทุกคนส่งข้อความหาผู้ชายก่อนและออกไปค้างคืนกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักตลอดเวลา แต่ความจริงก็คือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหนหรือสังคมรอบด้านอย่างไร คุณก็สามารถเป็นหญิงกฎเหล็กได้เสมอ คุณอาจจะไม่ได้อยากแต่งงานตอนอายุสิบเก้า แต่คุณอาจจะอยากอยู่ในความสัมพันธ์ดีๆ กับผู้ชายที่รักคุณหัวปักหัวปำ กฎเหล็กนี่แหละจะทำให้คุณถือไพ่เหนือกว่า คุณจะควบคุมความสัมพันธ์ได้ คุณจะไม่ต้องเจ็บปวด แล้วมันไม่ดีตรงไหนกัน
กลุ่มนักศึกษาไม่ใช่กลุ่มเดียวที่อยากจะทำตัวไปตามอำเภอใจในเรื่องการออกเดท เราเคยคุยกับผู้หญิงวัยยี่สิบกลางๆถึงปลายๆที่ต้องการค้นพบตัวเองและอยากทำตามหัวใจ--ไม่อยากทำตามกฏ และไม่ต้องการให้ใครมาบอกว่าควรทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น พวกเธอรู้สึกว่ากฎเหล็กน่าเบื่อ และไม่อยากทำตามในตอนนี้--แต่อาจจะทำตามในอีกห้าปีข้างหน้า เราเข้าใจดี เรามีลูกค้าวัยสามสิบกว่า สี่สิบกว่า ห้าสิบกว่า ที่เพิ่งก้าวขาออกมาจากชีวิตแต่งงานแย่ๆ พวกเธอไม่ได้ออกเดทกับใครมาเป็นสิบๆปีและโทรมาถามเราว่ากฎเหล็กสำหรับสถานการณ์นี้ๆๆๆเป็นอย่างไร แต่พวกเธอก็พบว่าตัวเองยังไม่พร้อมสำหรับกฎเหล็ก พวกเธออยากกลับมาสนุกอีกครั้ง อยากใช้เวลาสามชั่วโมงส่งข้อความจีบกัน อยากออกเดทแรกแปดชั่วโมง และอยากจะมีความสัมพันธ์แบบข้ามคืนสักสองสามครั้ง
เรามีลูกค้าคนหนึ่งที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะ “หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสนุกให้ทั่ว” หลังจากที่หย่าขาดจากสามีบ้างานที่ไม่เคยแสดงความต้องการในเรื่องเซ็กซ์เลย หลังจากส่งอีเมลล์คุยกับผู้ชายที่เธอพบในเว็บไซต์หาคู่ เธอก็ตัดสินใจส่งข้อความหาเขาตอนตีสอง และบอกตัวเองว่าการขับรถเป็นชั่วโมงๆไปหาเขาที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์เป็นการ “ผจญภัยครั้งใหญ่” พวกเขามีเซ็กซ์กันและเธอก็ขลุกอยู่กับเขาถึงสามวันหลังจากนั้น เธอบอกเราว่าเธอไม่สนใจหากเขาจะไม่ติดต่อมาอีกเลย เพราะเธอต้องการแค่ความสนุกเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่หายไป เขาติดต่อมาหาเธอเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาสามเดือน—แต่เป็นเฉพาะเมื่อเขาต้องการให้เธอขับรถไปหาเขาที่บ้าน พวกเขาไม่เคยทานมื้อค่ำแบบโรแมนติกหรือส่งอีเมลล์หวานๆให้กันด้วยซ้ำ เธอแทบทรุดเมื่อเขาส่งข้อความมาบอกเลิก และตระหนักได้ในตอนนั้นว่าแม้เธอจะพร่ำบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่เซ็กซ์เท่านั้นเอง” แต่ความจริงมันไม่ใช่:ผู้หญิงไม่ได้ต้องการแค่นั้น! ตอนนี้เธอจึงปฏิบัติตามกฎเหล็ก อย่างแน่วแน่ และปลื้มมันมาก!
เรามีลูกค้าประเภทมั่นใจในตัวเองที่มักจะบอกว่า กฎเหล็กเป็นเรื่องไร้สาระ พวกเธอต้องการจะ “เขียนกฎเหล็กของตัวเอง” และ “ปล่อยให้สัญชาตญาณนำไป” ในการอีเมลล์หรือส่งข้อความไปหาผู้ชายหรือนอนกับเขาในเดทแรก เราบอกพวกเขาว่าให้ทำสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่หากมีอะไรผิดพลาด เจ็บปวด หรือได้เจอผู้ชายที่อยากจะลงเอยด้วยจริงๆ ให้โทรมาหาเรา และพวกเธอก็ทำตามนั้น! บางครั้งพวกเธอเผลอทำตามกฎเหล็ก โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเธอไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่นัก วันหนึ่งเธอโทรกลับมาบอกเราอย่างผู้ชนะว่า “ฉันไม่ได้ทำตามกฎเหล็กเลยสักข้อ แต่ตอนนี้เราหมั้นกันเแล้ว” เราอธิบายเหตุการณ์อย่างนี้ว่า แม้มันจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ใช่กฎเหล็ก ก็เหมือนกับการลดน้ำหนักไปได้ห้ากิโลโดยไม่ได้พยายาม เพียงเพราะว่าอาหารเป็นพิษนั่นแหละ
ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งหรือสาววัยสี่สิบห้าที่เพิ่งผ่านการหย่าร้าง กฎเหล็กเหมาะสำหรับคุณ หากคุณเบื่อกับการทำผิดพลาดในความสัมพันธ์หรือถูกทิ้ง กฎเหล็ก คือหนังสือสำหรับคุณ หากคุณอยากจะมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงและราบรื่นกับแฟนที่อาจจะกลายเป็นว่าที่สามีในอนาคต หากคุณเบื่อกับเซ็กซ์ชั่วคราวหรือการส่งข้อความที่ไม่ได้รับการตอบกลับ อาจจะเป็นเพราะ “การทำตามใจตัวเอง” ใช้ไม่ได้ผลกับคุณอีกต่อไป ตอนนั้นแหล่ะ คุณจะพร้อมสำหรับกฎเหล็ก! แต่หากยังไม่ใช่ตอนนี้ ก็สนุกให้เต็มที่เลย หากคุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ แล้วล่ะก็
กฎเหล็กข้อที่ 6 รออย่างน้อยสี่ชั่วโมงก่อนจะตอบข้อความแรกที่ชายหนุ่มส่งมาให้ และรออย่างน้อย 30 นาทีในการตอบข้อความครั้งต่อไป
ตอนนี้คุณอาจจะสงสัยว่าควรจะรอนานเท่าไหร่ถึงจะส่งข้อความตอบกลับหนุ่มคนนั้นได้ มีลูกค้าหลายรายส่งข้อความมาหาเราอย่างเร่งด่วน “ผู้ชายที่ฉันชอบเพิ่งส่งข้อความมา ฉันจะตอบเขาตอนนี้ได้เลยไหม แล้วจะตอบยังไงดี ตอบกลับฉันด่วนนะคะ”
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่านี่ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน อันที่จริงเรามีเคสด่วนกว่านี้อีกหลายเคส เช่น ผู้หญิงที่มีผู้หญิงอีกคนส่งข้อความมาหาแฟนตัวเอง หรือ ผู้หญิงที่แฟนตัวเองหายไปหลังจากทะเลาะกันอย่างหนักหน่วง เคสเหล่านี้ต่างหากที่ด่วนที่เราจะช่วยก่อนเคสอื่นๆ เราเข้าใจว่าการได้รับข้อความแรกจากชายในฝันน่ะสำคัญ เป็นเรื่องความเป็นความตายได้เลยของหญิงสักคน เธอจะร้อนใจอยากตอบข้อความเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราอยู่ในสังคมที่ทุกอย่างเร็วไปหมด และการส่งข้อความกลับชายในฝันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกินจะห้ามใจ
หญิงกฎเหล็กรู้ดีว่าไม่ควรโทรหาผู้ชายก่อน และไม่ควรรีบร้อนโทรกลับไปหาเขา กฎเหล็กข้อนี้สามารถนำมาปรับใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย แต่เทคโนโลยีในช่วงสิบห้าปีนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก และการปฏิบัติกับการส่งแมสเสจก็ไม่สามารถทำเหมือนกันกับการรับโทรศัพท์ได้ หลังจากปรึกษาหารือกับลูกสาวของเราและที่ปรึกษาหลายคน เราก็ตระหนักได้ว่ามันมีอะไรที่แตกต่างกันอยู่มาก ผู้ชายจะโทรกลับมาหาคุณอีกรอบหากคุณยังไม่โทรกลับไปหาเขา แต่ข้อความจะเป็นเหมือนโทรศัพท์ที่โทรหาคุณอยู่ตลอดเวลา มันไม่รบกวนเวลาใดๆ มันแค่นอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องข้อความของคุณ หากคุณหายเงียบไปเลย เขาก็จะคิดไปว่าคุณปฏิเสธเขา—ความหมายเดียวกับที่คุณจะพูดออกมาว่า “ไม่สนใจค่ะ ขอบคุณ” หรือไม่ เขาก็จะคิดว่าคุณกำลังเล่นเกมอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ดี หากคุณไม่ตอบกลับแมสเสจของชายหนุ่มเลย หรือรอนานจนเกินไปกว่าจะตอบกลับ ในโลกปัจจุบันที่มนุษย์ไม่สามารถอยู่ห่างจากโทรศัพท์ได้นั้นอาจทำให้ผู้ชายคิดไปได้ว่า เธออ่านหนังสือกฎเหล็กหรือเปล่า เธอไม่สนใจเราจริงๆหรือ หรือเธอแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจกันแน่ เราไม่ต้องการให้ปัญหาประเภทนี้เกิดขึ้น
ก่อนหนังสือเล่มแรกของเราจะได้รับการตีพิมพ์ การที่ผู้หญิงจะไม่โทรกลับหาผู้ชาย หรือทิ้งไว้หลายวันก่อนจะโทรกลับ ถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่หลังจากหนังสือกฎเหล็กปรากฏสู่สายตาชาวโลก—และเริ่มได้รับการพูดถึงทั้งในซิทคอม ในรายการทอล์คโชว์ ในแมกกาซีนและหนังสือพิมพ์—ผู้ชายก็เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของสาวๆมากขึ้น ว่าการที่คุณไม่ติดต่อเขากลับเป็นเพราะคุณกำลังเล่นเกมอะไรอยู่หรือเปล่า ดังนั้นเราขอบอกว่าอย่ารอนานจนเกินไปที่จะตอบข้อความ หรือไม่ตอบข้อความของเขาเลย อย่าเล่นตัวมากจนเกินไป อย่าให้ผู้ชายรู้สึกว่าคุณหยาบคายหรือเรื่องมากก่อนเดทแรก เราได้สัมภาษณ์ผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่บอกว่า แม้การที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบกลับข้อความของเขา เขาก็ยังจะขอเธอออกเดทอยู่ดี แต่เขาจะเริ่มรู้สึกว่าเธอไม่สนใจเขา หรือเธออาจจะคบใครอยู่แล้วหากเธอไม่ตอบกลับข้อความของเขา อย่างที่โอปราพูดในรายการทีวีที่โด่งดังของเธอว่า “ผู้ชายชอบหญิง กฎเหล็ก แต่เขาไม่อยากให้เธอเป็นอย่างนั้นเพราะทำตามหนังสือ” เราไม่ได้ตั้งใจเขียนหนังสือเพื่อสอนให้ผู้หญิงประพฤติไม่สุภาพกับผู้ชาย!
เวลาที่เหมาะสมที่ควรจะตอบกลับข้อความของผู้ชาย ควรจะอยู่ระหว่าง 4 ถึง 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของคุณ 4 ชั่วโมงเหมาะสำหรับกลุ่มสาวๆที่อายุน้อยหน่อย เช่น สาวที่ยังอยู่ในวัยเรียนหรือวัยเริ่มทำงาน เพราะสาวๆกลุ่มนี้โตขึ้นมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือและเฟสบุ๊ค ยิ่งคุณอายุมากขึ้นเท่าไหร่ คุณยิ่งต้องรอนานมากขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณอายุสามสิบ ก็ควรจะรอสัก 12 ชั่วโมง และสาววัยสี่สิบหรือมากกว่านั้นก็ควรจะรออย่างน้อยหนึ่งวันถึงตอบกลับ (ลองดูตารางเวลาสำหรับตอบกลับข้อความหน้า 77-78)
แต่มันยังมีปัจจัยอื่นมาพิจารณาเพิ่มอีกคือ หากผู้ชายส่งข้อความหาคุณครั้งแรก ตอน 9 หรือ 10 โมงเช้า คุณก็ไม่ควรตอบกลับไปใน 4 ชั่วโมงเป๊ะ เพราะตอนนั้นจะตรงกับเวลาที่คุณควรจะเรียนหรือทำงานอยู่ และตามความน่าจะเป็นแล้วคุณไม่ควรจะเช็คโทรศัพท์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คุณควรจะรอจนกว่าจะเลิกเรียนหรือเลิกงานในวันนั้นแล้วค่อยตอบกลับไป หากตารางเวลาที่เราให้ มันไปตกอยู่ในช่วงกลางวันหรือช่วงเวลาที่คุณควรจะทำงานอยู่ ก็รอต่อไปอีกหน่อย มันมีคำว่าอย่างน้อยอยู่ข้างหน้าซึ่งนั่นหมายความว่าคุณสามารถรอนานกว่านั้นได้ คุณไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ—จำไว้ คุณไม่ควรทำให้เขาคิดว่าคุณนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ทั้งวัน
หากผู้ชายคนนั้นส่งข้อความหาคุณครั้งแรกในช่วงบ่าย อาจจะประมาณ 3 หรือ 4 โมงเย็น คุณก็ควรส่งกลับไปช่วงหลังเลิกงานตอนที่คุณกำลังนั่งดื่มหรือทานอาหารค่ำกับเพื่อนๆ หรือคุณอาจจะรอจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วค่อยส่งไปก็ได้—ก็แหม คุณอาจจะไปดูหนังรอบดึกมาก็เลยไม่ว่างส่งกลับไปในคืนนั้นก็ได้นี่ การที่คุณทำอย่างนี้จะทำให้เขาคิดว่าคุณมีชีวิตส่วนตัว และมีอะไรทำมากมายเกินกว่าจะมานั่งรอโทรศัพท์จากเขา
หากผู้ชายส่งข้อความมาหาคุณตอนสองทุ่ม และสี่ชั่วโมงหลังจากนั้นมันตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี ไม่ต้องตอบกลับไปเลย ให้รอจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นค่อยส่งข้อความกลับหาเขาระหว่างทางไปเรียนหรือไปทำงานแทน
สูตรตารางเวลาส่งข้อความกลับนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในช่วงสุดสัปดาห์ หรือตั้งแต่ 6 โมงเย็นวันศุกร์ไปถึง 6 โมงเย็น วันอาทิตย์ เราจะเรียกช่วงเวลานี้ว่าช่วงเวลาปลอดการส่งข้อความ เหมือนเวลาคุณอยู่บนเครื่องบินและต้องปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดนั่นแหละ เชื่อเราเถอะ สาวๆกฎเหล็ก สุดสัปดาห์ควรเป็นช่วงปลอดการส่งข้อความ คุณไม่ควรจะว่างในช่วงนั้น คุณไม่สามารถติดต่อได้ คุณมีอะไรต้องทำมากมาย คุณไม่มีเวลาให้เขา! แต่อย่าไปโกรธเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่เขาส่งข้อความหาคุณในคืนวันเสาร์ เขาอาจจะถูกสปอยล์จากสาวที่ไม่เชื่อในกฎเหล็กคนอื่นๆที่มักจะส่งข้อความหาเขาไม่มีหยุดแม้แต่ในวันเสาร์อาทิตย์—แต่คุณไม่ใช่เธอ! ไม่จำเป็นต้องส่งข้อความไปสั่งสอนเขาว่า “ทำไมส่งข้อความมาวันเสาร์คะ หากอยากชวนฉันไปออกเดทวันเสาร์ ทำไมไม่ส่งข้อความมาชวนวันพุธ” แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณควรจะเงียบหายไปเลยตลอดช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อให้เขารู้ว่าหากอยากจะเจอคุณวันเสาร์หรืออาทิตย์ เขาต้องวางแผนล่วงหน้านานกว่านั้น คุณอาจจะส่งข้อความกลับไปคืนวันอาทิตย์ว่า “ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่พอดีฉันมีอย่างอื่นต้องทำเต็มไปหมดเลย” กฏนี้จะมีข้อยกเว้นก็ต่อเมื่อเขาส่งข้อความมาชวนคุณออกเดทตั้งแต่วันพุธแล้ว แต่ส่งข้อความมาย้ำอีกทีเช้าวันเสาร์ หากอย่างนี้ไม่เป็นไร แต่หากไม่ใช่ล่ะก็ ไม่ต้องส่งอะไรกลับไปทั้งนั้น
ทุกอย่างมีข้อยกเว้น: เช่นหากเขาต้องการคำตอบเร่งด่วนเพื่อจะจองบัตรคอนเสิร์ต หรือจองอะไรสักอย่างที่ต้องให้คุณคอนเฟิร์มเวลาที่เหมาะสม คุณสามารถส่งข้อความตอบกลับไปหาเขาได้ทันที แต่ให้เขียนแค่ว่า “สองทุ่มวันที่ 14 ก็สะดวกค่ะ!” แต่อย่าใช้ช่องโหว่นี้แหกกฎด้วยการต่อความยาวสาวความยืดหรือส่งข้อความกลับไปกลับมาหาเขาโดยไม่จำเป็น
ผู้หญิงส่วนมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เรื่องกลยุทธ์การออกเดท จะส่งข้อความกลับหาผู้ชายภายในไม่กี่วินาที ดังนั้นเราจึงต้องทำตารางเวลาขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงทุกช่วงอายุเข้าใจชัดเจนเรื่องเวลาการส่งข้อความกลับ อีกอย่าง อย่าส่งรายละเอียดอะไรมากมายเกี่ยวกับตัวเองให้ผู้ชายคนนั้นรู้ เช่นหากผู้ชายคนหนึ่งส่งข้อความมาว่า “เฮ้ ผมสตีเว่นที่เจอกันเมื่อคืนนะ เป็นไงบ้างครับ” ผู้หญิงบางคนจะตอบกลับในสองวินาทีว่า “ดีใจที่คุณส่งข้อความมานะคะ! ตอนนี้ฉันพักกลางวันพอดี ก็เลยว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย ไปหาหนังสือจิตวิทยาที่เพื่อนฉันเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ตลกมากเลย แถมรถฉันยังเข้าอู่ด้วย วันนี้ฉันเลยต้องเดินไปมาทั้งวันเลย แล้วคุณล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง” ผู้หญิงพวกนี้แหละที่สปอยล์ผู้ชาย จำไว้ว่าเขาเพิ่งส่งข้อความหาคุณครั้งแรกนะ และเขาก็ถามแค่ว่าคุณเป็นไงบ้าง เขาไม่ได้อยากรู้ประวัติชีวิตคุณสักหน่อย หากคุณรอสักสี่ชั่วโมงแล้วค่อยตอบกลับไปแบบสั้นๆมันจะได้ผลกว่า อย่าสละเวลาอันมีค่าในห้องแลป หรือคลาสโยคะ หรือการประชุมใหญ่เพื่อจะส่งข้อความหาเขา โทรศัพท์รอได้! เขารอได้! คุณรู้สึกว่าต้องส่งข้อความกลับไปหาเขาเดี๋ยวนั้นเหรอ ทำไมล่ะ หากคุณช้าจะมีสาวคนอื่นส่งข้อความตัดหน้าคุณและได้ใจเขาไปงั้นหรือ ไม่เลย ในทางกลับกัน ผู้ชายจะคิดว่าคุณคงยุ่งอยู่หรือไม่ก็อาจจะคุยกับผู้ชายคนอื่นอยู่—ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับคุณนะ
คุณต้องรู้ว่า สำหรับผู้ชายแล้ว การส่งข้อความไม่ใช่เรื่องใหญ่โลกแตกเหมือนผู้หญิงเราๆคิดกัน เขาอาจจะส่งข้อความหาคุณตอนกำลังเติมน้ำมันรถอยู่ก็ได้ สำหรับผู้ชายการส่งข้อความก็ไม่ต่างกับการเล่นกีฬาหรือเล่นวิดีโอเกม แต่สำหรับผู้หญิง การได้รับข้อความจากหนุ่มที่หมายปองไม่ต่างอะไรกับการถูก ลอตเตอรี ท่ามกลางข้อความมากมายของเพื่อนฝูง พ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมงาน ข้อความหนึ่งเดียวที่เธอจะคิดถึงอยู่ตลอดก็คือข้อความของชายที่เธอปลื้ม
ก่อนที่หญิงสาวทั้งหลายจะได้อ่านหนังสือของเรา พวกเธออาจจะส่งข้อความกลับไปหาผู้ชายคนนั้นภายในสองนาที และใช้เวลาทั้งชั่วโมงส่งข้อความตอบโต้ไปมากับเขาอย่างเพลิดเพลิน เธอและเขาจะรู้เรื่องของกันและกันมากกว่าตอนไปออกเดทเสียอีก เธอมักใช้เวลานั่งนิ่งๆเพื่อพินิจพิเคราะห์ความหมายที่ซ่อนอยู่ในข้อความของเขา—อาจจะถึงกับส่งข้อความของเขาต่อไปให้เพื่อนๆช่วยกันวิเคราะห์ เธอจะตั้งใจตีความหมายแต่ละข้อความของเขายิ่งกว่าตอนสอบเอนทรานซ์หรือตอนอ่านไบเบิล ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้หญิงประเภทนี้มักลงเอยด้วยการส่งข้อความคุยกับผู้ชายไปมาอย่างสนุกสนาน—แต่ไม่ได้ออกเดทจริงๆตัวเป็นๆกับเขาคนนั้นเสียที—ที่แน่ๆคือเธอไม่ได้ออกเดทในคืนวันเสาร์แน่นอน—และหญิงพวกนี้ก็จะหันมาขอความช่วยเหลือจากเรา เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของเธอ ทำไมเขาถึงหายไปทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอก่อนด้วยซ้ำ เธอคิดว่าการที่เธอตอบข้อความของเขาเสมอและรวดเร็วจะทำให้เขาไม่หมดความสนใจในตัวเธอ ซึ่งมันไม่จริงเลย! นั่นคือเหตุผลที่เราเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา อย่าทำเหมือนการส่งข้อความเป็นการรักษาคนไข้ในห้องฉุกเฉิน มันไม่ได้มีอะไรรีบเร่งอะไรขนาดนั้น เมื่อคุณอ่านบทนี้จบ คุณควรรู้สึกว่าการตอบแมสเสจกลับไปหาผู้ชายทันทีที่ได้รับนั้นเปรียบเหมือนการเอามือไปสัมผัสเตาไฟร้อนๆเลยทีเดียว
อีกหนึ่งกฎที่คุณควรจะจำเอาไว้คือ หลังจากคุณส่งข้อความตอบกลับข้อความแรกของเขาแล้ว หลังจากนั้น ควรเว้นระยะสักสิบถึงสิบห้านาทีในการโต้ตอบแต่ละครั้ง กลยุทธ์นี้จะทำให้เขาสงสัยว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะอยากรู้เกี่ยวกับคุณมากขึ้นและตัดสินใจชวนคุณออกเดทในที่สุด และคุณก็ไม่ควรรู้สึกผิดกับการทำแบบนี้ เพราะทั้งหมดก็เพื่อผลดีในภายหลัง
เบธานี วัยยี่สิบสอง เจอหนุ่มคนนี้ที่งานปาร์ตี้ เขาเดินมาทักเธอก่อน และขอเบอร์โทรศัพท์เธอ วันรุ่งขึ้นเขาก็ส่งข้อความมาหาเธอว่า “หวัดดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ วันนี้เป็นไงบ้าง” เธอทำอย่างไรต่อน่ะหรือ สี่ชั่วโมงหลังจากได้รับข้อความ เธอก็ส่งข้อความกลับไปหาเขา “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ! งานวันนี้สนุกดีค่ะ แต่ยุ่งชะมัดเลย!” อันที่จริงเธออยากถามเขากลับจะแย่ว่าวันนี้ของเขาเป็นยังไงบ้าง แต่เราเตือนเธอเอาไว้ว่าอย่าทำอย่างนั้น เพราะจุดมุ่งหมายจริงๆของเธอคือทำให้เขาเป็นฝ่ายชวนเธอออกเดท เราบอกให้เธอส่งข้อความที่สั้น กระชับและดูฉลาดกลับไปเพื่อป้องกันการส่งแมสเสจเฟลิร์ตไปมาที่จะไม่นำไปสู่การออกเดทจริงๆสักที ห้านาทีผ่านไปเขาก็ส่งข้อความกลับมา “คุณทำงานอะไรครับ” สามสิบนาทีถัดมาเธอก็ส่งข้อความกลับไปว่า “ฉันเป็นเภสัชกรค่ะ” เขาส่งกลับมาในสามนาทีว่า “คุณได้ตัวอย่างยาฟรีตลอดเลยหรือเปล่าครับ ฮ่าๆ” เธอตอบกลับไปในอีกยี่สิบนาทีว่า “เปล่าค่ะ ฮ่าๆ” สองนาทีต่อมาเขาก็ส่งกลับมาหาเธอ “ว่างไปเที่ยวกันไหมครับ ไปดูหนังวันเสาร์นี้เป็นไง คุณว่างหรือเปล่า” สามสิบนาทีต่อมาเธอก็ตอบไปว่า “ได้ค่ะ ฟังดูน่าสนุกนะคะ” ภารกิจสำเร็จ! ไม่มีการคุยเล่นจิ๊จ๊ะ มีแต่การออกเดทจริงๆ
สเตซี่ วัยยี่สิบสี่ เจอกับสถานการณ์ที่ยากขึ้นอีกนิด เธอได้รับข้อความตอนสองทุ่มวันอังคารจากชายหนุ่มที่เธอเจอที่บาร์: “ยินดีที่ได้เจอคุณเมื่อคืนนะครับ ร้านนั้นอาหารอร่อยจริงๆ คุณเป็นไงบ้าง เสาร์อาทิตย์นี้มีโปรแกรมทำอะไรบ้างครับ” ตอนแรกเธอก็นั่งพินิจพิเคราะห์ความนัยของข้อความนั้นอยู่คนเดียว เธอไม่แน่ใจว่าเขาแค่ชวนเธอคุยเรื่องทั่วไป หรือกำลังพยายามจะชวนเธอออกเดท เธอกลัวว่ามันจะกลายเป็นการส่งแมสเสจเฟลิร์ตกันเล่นไปมาโดยไม่มีวี่แววของการออกเดทจริงจัง ใจจริงของเธออยากจะตอบกลับไปว่า “ฉันว่างสุดสัปดาห์นี้ค่ะ ทำไมเหรอคะ แล้วคุณล่ะว่างหรือเปล่า” ไม่ได้เด็ดขาด! อย่างแรกเลย เขายังไม่ได้ขอเธอออกเดทเป็นเรื่องเป็นราว ยังไม่มีการกำหนดวันเลยด้วยซ้ำ มันจะดูเป็นการด่วนสรุปเกินไปหน่อย เขาส่งข้อความมาหาเธอหลังหนึ่งทุ่มไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงรอจนเช้าและตอบกลับไปว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ...โปรแกรมเสาร์อาทิตย์นี้ยังไม่แน่นอนเลยค่ะ”
เขาส่งข้อความกลับมาหาเธอสองนาทีจากนั้น: เราน่าจะออกมาเจอกันนะครับ
สเตซี่รอสามสิบนาทีก่อนจะตอบกลับ: ได้สิคะ!
เขาส่งกลับมา: คุณสะดวกเมื่อไหร่ดีครับ
สเตซี่รออีกยี่สิบนาที และส่งกลับไป: คุณว่าเมื่อไหร่ดีล่ะ
เขาตอบกลับมาในห้านาทีว่า: ดินเนอร์คืนวันเสาร์เป็นไงครับ
สเตซี่รอสามสิบนาที และตอบกลับไปว่า: โอเคค่ะ
ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้ อย่าคิดไปเองว่าผู้ชายชวนคุณออกเดท และอย่าเสนอวันว่างให้เขา คุณต้องรอให้เขาเป็นฝ่ายเจาะจงวันและเวลามาเลย และแน่นอนที่สุดว่า อย่าส่งข้อความกลับในเสี้ยววินาที และเมื่อตอบข้อความกลับไป จงใช้คำให้น้อยกว่าที่เขาส่งมาเสมอ อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ อย่าส่งข้อความเบิ้ล (ส่งสองข้อความในขณะที่เขาส่งกลับเพียงข้อความเดียว) ไม่อย่างนั้น เขาจะมองว่าคุณกระตือรือร้นที่จะคุยกับเขามากเกินเหตุ
กฎเหล็กข้อที่ 7 แล้วค่อยคุยกันนะ: จบบทสนทนาก่อนเสมอ--หลบฉากซะ!
ในหนังสือกฎเหล็กเล่มแรก เราบอกให้คุณเป็นฝ่ายวางโทรศัพท์ก่อน กฏเดียวกันนี้ใช้ได้กับทุกการสื่อสาร รวมถึงการออกเดทด้วย เราเรียกมันว่า “การหลบฉาก” ทำไมน่ะหรือ ก็เพื่อคุณจะได้ไม่เปิดเผยตัวตนมากจนเกินไปและทำให้เขาอยากรู้จักคุณมากขึ้นไง! จำไว้ว่าบางครั้ง จิตวิทยากลับด้านก็ได้ผล หากคุณอยากให้ผู้ชายสนใจคุณมากๆ ก็สนใจเขาน้อยๆ ยิ่งคุณดูยุ่งมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งสนใจและอยากเข้าใกล้คุณมากเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีแบบเก่าหรือแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการคุยกันทางโทรศัพท์บ้านแบบเดิมๆหรือการคุยผ่านวิดิโอแชทใน Skype ประเด็นของมันคือ ทำให้ผู้ชายคนนั้นทึ่งในความมีรสนิยม ความฉลาดหลักแหลม และบุคลิกภาพอันน่าสนใจของคุณ และ “หลบฉาก” ออกมาภายในสิบหรือสิบห้านาทีของการพูดคุยจะทำให้คุณน่าค้นหาขึ้น และนั่นจะทำให้ชายคนนั้นต้องชวนคุณออกเดทหากเขาอยากรู้จักคุณมากขึ้น G-chat และ FaceTime ไม่นับว่าเป็นการออกเดทนะ!
ผู้หญิงบางคนจะรู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาทหากต้องเป็นฝ่ายจบบทสนทนาก่อน นี่ไม่ใช่การเล่นเกม การจบบทสนทนาก่อนคือการบอกเป็นนัยๆให้เขารู้ว่าคุณมีชีวิตของตัวเองและมีขอบเขตที่เหมาะสมในการคุยกับเขา เขาจะสงสัยว่าคุณทำอะไรอยู่ถึงคุยกับเขาต่อไม่ได้ คุณอยู่กับเพื่อนหรือเปล่า ประชุมอยู่หรือ ออกกำลังกายอยู่ล่ะมั๊ง หรือเรียนอยู่ หรือกำลังเพลินอยู่ในชมรมหนังสือ ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ชายคนนั้นอยากรู้เกี่ยวกับตัวคุณมากขึ้นและชวนคุณออกเดทในที่สุด แม้เขาจะอ้างว่าเขาชอบผู้หญิงที่เปิดเผยและพูดคุยอย่างสนุกสนานก็เถอะ
หากคุณกำลังรู้สึกว่าทำตัวไร้มารยาท จำไว้ว่าผู้ชายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเวลาเขาจบบทสนทนาก่อน คุณกับเขาอาจจะกำลังคุยกันอย่างออกรสแล้วอยู่ดีๆ ตู้ม! เขาขอวาง ด้วยเหตุผลว่าฟุตบอลกำลังจะเริ่มแข่ง หรือเพื่อนร่วมห้องเขาเพิ่งเดินเข้ามา จงคิดเสียว่าผู้ชายคือข้าศึกของคุณ เขามีอำนาจในการจบบทสนทนาทุกอย่าง เขาอาจจะไม่ส่งข้อความมาหาคุณอีกเลย หรือไม่คิดจะชวนคุณออกเดทอีก ทางเดียวที่คุณจะปกป้องตัวเองได้คือคุณต้องเป็นฝ่ายชิงจบบทสนทนาก่อนเขา
ยอมรับเถอะว่า ไม่ใช่คุณจบบทสนทนาก่อนไม่ได้ คุณแค่ไม่ต้องการจะทำต่างหาก คุณจมอยู่ในภวังค์แห่งการสนทนาที่ออกรสชาด บางทีเพื่อนของคุณอาจจะนั่งกรี๊ดอยู่ข้างๆว่า “หยุดส่งข้อความหาเขาเดี๋ยวนี้!” และพยายามจะแย่งโทรศัพท์ออกไปจากมือคุณ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร คุณอาจจะแย่งโทรศัพท์กลับมาและส่งข้อความต่อ คุณอาจจะแอบเพื่อนและครอบครัวส่งข้อความใต้โต๊ะอาหารระหว่างทานข้าวกัน หรือไม่ก็แอบไปส่งในห้องน้ำ จนครอบครัวและเพื่อนๆคุณได้แต่ระอา
สาวๆหลายคนเชื่อว่าหากเธอปิดฉากสนทนาก่อน เธอจะเสียผู้ชายคนนั้นไป พวกเธอเชื่อว่าหากพวกเธอขอวางสายก่อน เขาจะหมดความสนใจในตัวเธอและหันไปหาสาวอื่นแทน แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามเลย หากผู้ชายคนนั้นชอบคุณ ขอเบอร์คุณก่อน และส่งข้อความมาหาคุณ แล้วคุณเป็นฝ่ายขอตัวภายในสิบนาทีหลังจากส่งข้อความคุยกัน เขาจะพยายามติดต่อกลับมาหาคุณใหม่หรือไม่ก็ชวนคุณออกเดทเสียเลย หากเขาหายไปจริงๆก็ไม่ได้แปลเพราะคุณ “หลบฉาก” ออกมา แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ชอบคุณจริงๆต่างหาก คุณคงไม่อยากเสียเวลาไปกับผู้ชายที่ไม่คิดว่าคุณคุ้มค่าพอที่เขาจะส่งข้อความกลับมาหาคุณอีกหรอกนะ
คุณสามารถใช้ข้ออ้างง่ายๆในการจบบทสนทนากับชาย อย่างเช่น “แบตฉันเหลือขีดเดียวแล้ว” หรือว่า “ต้องขอไปรับสายนี้ก่อน” หรือว่า “ต้องไปอ่านหนังสือค่ะ” หรือว่า “งานยุ่งชะมัดเลย” หรือว่า “คลาสสปินนิ่งกำลังจะเริ่มแล้ว” ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอยอะไรให้สวยงาม--สถานการณ์ง่ายๆก็ใช้ได้แล้ว! และคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องรู้สึกผิดด้วย ลองคิดถึงนักบำบัดสิ พวกเขาอาจจะกำลังนั่งฟังคนไข้ร้องห่มร้องไห้อยู่ดีๆ แล้วจู่ๆก็เหลือบมองนาฬิกา และพูดขึ้นมาว่า “หมดเวลาแล้วค่ะ” แล้วทำไมคุณจะตัดบทสนทนาที่ไม่ได้มีใครร้องไห้ไม่ได้ล่ะ หากคุณไม่รู้จะอ้างอะไร ก็พูดง่ายๆว่า “ขอโทษนะคะ ต้องวางสายแล้วล่ะ!” แล้วปิดโทรศัพท์ไปเลยสักสองสามนาทีเพื่อให้เวลาตัวเอง--เหมือนที่เราบอกคุณในหนังสือเล่มแรกว่า ตั้งครื่องจับเวลาไว้เลย เพื่อเตือนให้คุณวางสาย หากคุณรู้สึกว่าไม่สามารถตัดบทเขาได้ด้วยตัวเอง ขอให้เพื่อนส่งข้อความมาเตือนก็ได้ หากคุณคิดว่าไม่สามารถไว้ใจตัวเองได้จริงๆ ก็ทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋า ไว้ในรถ หรือไว้อีกห้องหนึ่งซะเลย
คุณไม่จำเป็นต้องรอช่วงเวลาเหมาะๆในการจบบทสนทนา ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แค่จับเวลาที่เหมาะสมแล้วหลบฉากออกมาเลย--อย่าเสี่ยงรอให้เขาเป็นฝ่ายปิดการสนทนาก่อน คุณจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ต้องมานั่งคิดว่าเขาจะไปไหนและทำให้คุณนั่งจมอยู่กับความคิดแย่ๆมากมายในหัว! หากปล่อยให้เขาจบบทสนทนาก่อน คุณอาจรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ แล้วลงเอยด้วยการส่งข้อความกลับไปหาเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างยังโอเคอยู่ และนั่นก็คือการแหกกฎเหล็กอีกข้อ! ก็เหมือนเวทมนต์นั่นแหล่ะ หากคุณจบบทสนทนาก่อน เขาจะหลงใหลในตัวคุณมากขึ้นและอยากรู้จักคุณมากขึ้น
เคล็ดลับในการกระชับบทสนทนาไม่ให้ยืดเยื้อคือ คุณต้องเขียนข้อความให้สั้นกว่าเขา อย่าถามคำถามเยอะ พยายามตอบคำถามเขาแค่ประโยคเดียวหรือสองประโยคหากจำเป็น แต่ต้องตอบอย่างฉลาด อย่าเริ่มบทสนทนาใหม่ๆ ผู้หญิงมักจะคิดว่าการจะมัดใจชายให้อยู่หมัด เธอต้องตอบคำถามยาวๆใส่รายละเอียดเยอะๆ ถามคำถามเขาอย่างสนอกสนใจ และเริ่มหัวข้อใหม่ๆในการสนทนา นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่ไม่ควรทำ
เขา: เฮ้ ทำอะไรอยู่ครับ
เธอ: อ่านหนังสืออยู่ค่ะ พรุ่งนี้ฉันมีสอบชีววิทยา เพื่อนร่วมห้องฉันป่วยหนักเลย เพราะเธอเมาเละช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อาเจียนเลอะพรมห้องน้ำเต็มไปหมด ฉันเคยบอกเธอแล้วนะคะว่าอย่าดื่มเกินหนึ่งแก้ว แต่เธอไม่เคยฟังฉันเลย!
เขา: แย่จัง คุณเรียนชีวะกับใครครับ
เธอ: อาจารย์รินัลดิค่ะ เขาแย่ที่สุดเลย แจ็คกี้เพื่อนฉันที่เรียนด้วยกันก็ไม่ชอบเขา คุณรู้จักแจ็คกี้ไหมคะ
เขา: ผมก็เรียนกับรินัลดิเมื่อปีก่อน เขาแย่จริงๆนั่นแหละ
เธอ: ฉันรู้ แหมน่าจะเปลี่ยนคลาสนะคะ ฉันทำพลาดไปแล้ว เออ คุณพอจะติวให้ฉันได้หรือเปล่าคะ
เขา: คืนนี้คงอยู่ดึกเลยสิครับ
เธอ: ใช่ค่ะ อ่านทั้งคืนคงไม่จบแน่ๆ แล้วคุณล่ะคะทำอะไรอยู่
เขา: เตรียมสอบเหมือนกันครับ แต่ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ ผมเครียดเรื่องซ้อมเตะฟุตบอลวันเสาร์นี้มากกว่า เพราะเราต้องแข่งกับทีมหินน่ะครับ
เธอ: ฉันจะไปดูนะคะ เริ่มแข่งกี่โมงเอ่ย
เขา: บ่ายสามวันอาทิตย์ครับ ขอตัวไปยิมก่อนนะ!
เธอ: โอเคค่ะ ประตูสนามเปิดกี่โมงคะ
เธอไม่ได้เป็นคนปิดฉากก่อน เธอเล่าเรื่องเยอะเกินไป แถมเขายังไม่ได้นัดแนะว่าจะมาเจอเธออีกด้วย เสียเวลาจริงๆ! นี่คือตัวอย่างบทสนทนาเดียวกัน ที่ดีกว่าเยอะ
เขา: เฮ้ ทำอะไรอยู่ครับ
เธอ (30 นาทีต่อมา): อ่านหนังสือค่ะ
เขา: ผมก็เหมือนกัน วิชาชีวะนี่ยากเป็นบ้าเลย แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะครับ ออกมาเจอกันไหม
เธอ (10 นาทีต่อมา): ได้สิคะ น่าสนุกดีนะ ต้องขอตัวไปอ่านหนังสือต่อแล้วล่ะ…
กฎเหล็กข้อนี้ไม่ได้ใช้ได้แค่กับการส่งข้อความ การคุยทางโทรศัพท์ หรือสื่อออนไลน์อื่นๆเท่านั้น แต่ยังใช้ได้กับการออกเดทจริงๆอีกด้วย เดทแรกของหญิงกฎเหล็กควรจะเป็นการนัดดื่มกาแฟหรือดื่มเครื่องดื่มที่บาร์สักหนึ่งถึงสองชั่วโมง หรือนัดติวหนังสือในห้องสมุดกันสักสองสามชั่วโมง ไม่ใช่การไปปีนเขาหรือปั่นจักรยานด้วยกันเป็นวันๆ หรือไปเดินเล่นที่ชายหาดตามต่างจังหวัด การเริ่มต้นที่เร็วและเยอะเกินไปไม่เคยนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี อีกอย่างการขอตัวกลับจากการไปดื่มกาแฟที่คอฟฟี่ชอปมันทำได้ง่ายกว่าการขอตัวกลับจากการเดินเล่นที่ชายหาดต่างจังหวัดเยอะ นั่นคือเหตุผลที่เราไม่แนะนำให้เดทแรก ลากยาวไปถึงมื้อค่ำและต่อด้วยดูหนัง หรือไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน
ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะกระตือรือร้นตอนต้นๆ ดังนั้นในเดทแรกหรือเดทที่สอง เขามักจะชอบลากยาวเดททีล่ะหลายๆชั่วโมงหากคุณไม่คัดค้านล่ะก็ แม้ว่าเขาจะเป็นคนชวนคุณออกเดทยาวๆนี้เอง แต่เขาก็อาจคิดได้ว่าคุณง่ายเกินไปและคงชอบเขาเข้าเต็มเปา และเขาจะเริ่มเบื่อคุณภายในเดทครั้งที่สาม--หากมีนะ ดังนั้น คุณต้องเป็นคนกำหนดทิศทางการออกเดทและกำหนดระยะห่างเอง เพื่อให้เขาค่อยๆรู้จักคุณทีละนิดและไม่เบื่อคุณเสียก่อน จนต้องหันไปหาสาวคนอื่นหลังจากเดทกันเพียงสองครั้ง
หากชายหนุ่มชวนคุณขับรถไปปิคนิกในสวน ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียน หรือไปเต้นรำกันที่ผับในเดทแรก คุณควรตอบไปอย่างมั่นใจว่า “แค่ไปดื่มกันก็พอค่ะ” หลังจากเวลาผ่านไปสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง คุณควรทำเป็นดูนาฬิกาแล้วบอกเขาว่า “กำลังสนุกเลย แต่ฉันต้องไปแล้วค่ะ” หากเขาถามว่าทำไม ก็บอกเขาว่าคุณมีงานสำคัญวันรุ่งขึ้น อย่าไปบอกเขาว่า--ไม่ใช่เรื่องของคุณนี่คะ หากคุณรู้สึกว่ามันอาจฟังดูห้วนไปหน่อย ก็ให้อธิบายเพิ่มอีกนิดว่า คุณกำลังยุ่งเรื่องเรียน ต้องเตรียมสอบหรือต้องไปประชุมแต่เช้า หรือไม่ก็นัดเทรนเนอร์ไว้แต่เช้าตรู่ หากคุณยังเรียนมหาวิทยาลัยและไปออกเดทกับผู้ชายที่งานปาร์ตี้ ก็ควรจบเดทนั้นก่อนเขา อย่ายืดเวลาการออกเดทด้วยการบอกเขาว่า “ลองไปคลับ G ดูไหมคะว่ามีอะไรน่าสนใจ…” หรือ “ไปบาร์อื่นกันเถอะค่ะ…” และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนออกไอเดียว่าให้ไปที่อื่นต่อก็เถอะ คุณก็ควรจะปฏิเสธไปซะ หากคุณไม่ทำตามกฎเหล็กข้อนี้ คุณก็จะไม่น่าท้าทายสำหรับเขาอีกต่อไป หากเขาต้องการใช้เวลากับคุณมากขึ้น เขาสามารถทำได้ด้วยการชวนคุณออกเดทอีก
เดทสองควรเป็นเดททานมื้อค่ำสักสามหรือสี่ชั่วโมง เดทครั้งที่สามอาจจะเป็นทานมื้อค่ำและต่อด้วยการดูหนังสักห้าชั่วโมง เดทครั้งที่สี่อาจจะเป็นทานมื้อค่ำแล้วต่อด้วยการดูโชว์หรือดื่มกาแฟคุยกันต่อได้สักหกชั่วโมง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณต้องเป็นคนจบการเดทก่อนเสมอ คุณต้อง “หลบฉาก” ออกมา!
แน่นอนว่ากฎเหล็กข้อนี้อาจจะตรงข้ามกับสิ่งที่ใจคุณอยากจะทำ เมื่อคุณได้เจอผู้ชายที่คุณชอบ คุณจะอยากคุยกับเขาไม่หยุด คุณจะอยากรู้ทุกเรื่องราวของเขา--เรียนเอกอะไร ทำงานที่ไหน ขับรถอะไร ทีมกีฬาโปรดคือทีมอะไร เวลาว่างชอบทำอะไร ทำไมถึงเลิกกับแฟนคนก่อน มองอนาคตตัวเองในอีกห้าปีว่าอย่างไร และเหนือสิ่งอื่นใด คุณอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงกับคุณ--และคุณอยากจะเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องในชีวิต แต่จงจำไว้ว่าเดท
ยาวนานมาราธอนจะทำลายความลึกลับของคุณไปจนหมดสิ้น สิ่งที่คุณควรทำคือ ทำให้เขาอยากชวนคุณออกไปเดทอีกครั้ง—อีกครั้ง และอีกครั้ง--เพื่อจะได้รู้จักคุณมากยิ่งขึ้นต่างหาก!
กฎเหล็กข้อที่ 8 อย่าตอบข้อความหรืออะไรก็แล้วแต่หลังเที่ยงคืน
ส่วนหนึ่งของการทำตามกฎเหล็กก็คือการแอบสอนให้ผู้ชายรู้จักเคารพคุณโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ—และนั่นหมายถึงการตีกรอบให้ตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องการติดต่อสื่อสารกับชายหนุ่ม คุณต้องไม่รับโทรศัพท์หรือตอบกลับข้อความของเขาหลังเที่ยงคืน อาจเป็นเพราะคุณยุ่งอยู่ หรือไม่คุณก็อาจจะต้องเข้านอนเร็วเพื่อจะได้นอนได้ครบ 10 ชั่วโมงเพื่อความงาม หรือไม่ก็…...เอาจริงๆแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องรู้เลย! หากผู้ชายคนนั้นอยากจะรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ก็มาขอเดทคุณซะสิ เราพบว่ากลุ่มลูกค้าที่รับโทรศัพท์ของชายหนุ่มตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มักจะเจอแต่ปัญหาความสัมพันธ์ ผู้ชายมักจะคิดว่าตัวเองสามารถโทรหาสาวๆได้ตลอดเวลา จะตีหนึ่ง ตีสอง หรือแม้แต่ตอนเมา แต่คุณคือหญิงกฎเหล็ก คุณมีชีวิตของตัวเอง และไม่ได้ว่างตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง!
เราไม่ได้อยู่ในยุคหิน เรารู้ว่าหนุ่มๆ ยิ่งหนุ่มวัยละอ่อนในรั้วมหาวิทยาลัย ชอบโทรหรือส่งข้อความมาจิ๊จ๊ะสาวๆช่วงเที่ยงคืน แต่การที่เขาทำอย่างนั้นก็เพื่อความสนุกและแก้เหงา ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนพิเศษ ดังนั้นคุณต้องมีจุดยืนที่จะไม่รับการติดต่อจากเขาหลังเที่ยงคืน ไม่อย่างนั้นคุณจะเป็นหนึ่งในสาวๆที่เขาเอาไว้คุยแก้เหงาเท่านั้นเอง
และตามจริงแล้ว ไม่มีเรื่องดีงามเรื่องไหนหรอกที่จะเกิดหลังเที่ยงคืน ผู้ชายอาจจะแค่ต้องการหาคู่นอนเท่านั้นเอง ในหนังสือเล่มแรกเราบอกคุณไว้ว่า หากคุณไปถึงงานปาร์ตี้ที่มีกำหนดการเริ่มงานตอนสามทุ่ม คุณควรไปถึงสักสี่ทุ่ม และกลับตอนเที่ยงคืน ผู้หญิงที่แกร่วรออยู่จนตีสอง ตีสี่ หรือจนผับปิด มักจะเจอแต่พวกขี้เมา ขี้หลี และผู้ชายที่มองหาแต่คู่นอนเท่านั้น ดังนั้น ไม่ต้องคิดเลยเรื่องข้อความ โทรศัพท์ หรืออีเมลล์หลังเที่ยงคืนจากผู้ชาย
เรารู้ว่ากฎข้อนี้ทำตามได้ยาก เพราะเหล่าสมาร์ทโฟนทั้งหลายทำให้การคุยกันหลังเที่ยงคืนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่หากผู้ชายคนนั้นโทรหาคุณหลังเที่ยงคืน โปรดทราบว่า นั่นไม่ใช่การออกเดทหรอกนะ—นั่นคือการโทรหาคู่นอนต่างหาก เขาอาจจะโทรไปหาสาวๆทุกคนที่เขามีเบอร์ และคุณอาจจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายของเขาก็ได้ หรือเขาอาจจะส่งข้อความเดียวกันนั้นไปหาสาวๆสิบคนในชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง! หากเป็นอย่างนั้นคุณจะทำอย่างไร หญิงกฎเหล็กอย่างคุณต้องไม่เป็นแค่คู่นอนของใครและไม่ใช่ตัวเลือกสุดท้ายของใครด้วย
เรารู้ว่าคุณมีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา ออนไลน์แทบจะ 24 ชั่วโมง—แต่คุณต้องไม่ให้เขารู้ว่าคุณเป็นอย่างนั้น ดังนั้นคุณต้องไม่ตอบข้อความเขา หากคุณเผลอตอบไปครั้งนึง เขาจะคิดว่าเขาสามารถส่งข้อความมาหาคุณดึกๆดื่นๆได้เสมอ และหากคุณตอบเขาทุกครั้งที่เขาส่งข้อความมา เขาจะมองว่าคุณน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ แทนที่จะมองว่าคุณอาจจะกำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆหรือกำลังอยู่กับหนุ่มผู้โชคดีคนอื่นที่ไม่ใช่เขา หากคุณกดรับสาย หรือตอบข้อความของเขา สุดท้ายคุณอาจจะยอมใจอ่อนไปเจอเขาในงานปาร์ตี้ หรือไปมีอะไรกับเขา! คุณไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอก และอย่าปล่อยให้มีอะไรมายั่วใจให้ทำอย่างนั้นด้วย หากคุณไม่รับสาย อย่างมากเขาก็แค่คิดว่าคุณหลับแล้ว เท่านั้นเอง
ต่อให้เขาเห็นว่าคุณอ่านข้อความใน BlackBerry Messenger หรือ Line หรือ WhatsApp แล้วแต่ไม่ได้ตอบกลับ แล้วไงล่ะ คุณมีสิทธิ์จะไม่ตอบข้อความของเขา โดยเฉพาะข้อความที่มาผิดเวลาแบบนี้ คุณอาจจะกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ หรือเตรียมพรีเซนท์เทชั่นสำหรับเข้าประชุมพรุ่งนี้อยู่ก็ได้ อย่ารับสายเขา! และรู้ไว้เลยนะว่า สำหรับผู้ชายแล้ว เขาสามารถไม่ตอบข้อความกลางดึกแบบนี้ได้อย่างสบายๆ—หรือแม้แต่ในเวลาอื่นก็เถอะ
เป็นหญิงกฎเหล็กก็เหมือนกับการเป็นซินเดอเรล่า ครั้งต่อไปที่คุณคันไม้คันมืออยากจะตอบกลับข้อความของเขาหลังเที่ยงคืน ให้คิดซะว่าชุดราตรีแสนสวยของคุณกำลังจะกลายเป็นพรมเช็ดเท้า และรถม้าสีทองกำลังจะกลายเป็นฟักทอง—คุณจะไปไม่ถึงไหนเลย เหมือนความสัมพันธ์ของคุณนั่นแหละ
*************
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน...
แน่นอน เรานอนดึก แต่เหตุผลที่เรานอนดึกก็คือ เรามัวแต่ออกไปปาร์ตี้ หรือไปนอนขดตัวเม้าท์อยู่กับเพื่อนสาวบนโซฟา หรือนั่งเขียนรายงานวิชาภาษาอังกฤษส่งอาจารย์ เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งของเราสารภาพว่า เขาและเพื่อนๆจะเล่นเกมส่งข้อความหาสาวห้าคนหลังเที่ยงคืน และดูซิว่าสาวคนไหนตอบกลับเร็วที่สุด—หลังจากนั้นพวกเขาก็จะท้ากันว่าใครจะได้นอนกับสาวเหล่านี้ก่อน พวกเขาจะรายงานความเคลื่อนไหวกันแบบคำต่อคำ และผู้ชนะก็จะได้เบียร์หกกระป๋องเป็นรางวัลจากเพื่อนผู้พ่ายแพ้อีกสองคน! น่ารังเกียจมาก...เราช็อคกับความจริงเรื่องนี้พอสมควร ดังนั้นถ้านาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว อย่าสนใจข้อความของเขา! แม้ว่าเขาจะเป็นหนุ่มในฝันและคุณอยากส่งข้อความคุยกับเขาทั้งคืนก็ตาม จำเอาไว้—เราเตือนคุณแล้ว! อีกอย่างถ้าเขาเป็นหนุ่มประเภทที่ชอบเล่นพิเรนทร์และน่ารังเกียจแบบนี้ คุณก็คงไม่อยากอยู่กับเขาหรอกนะ
--ลูกสาวผู้เขียนกฏเหล็ก
วิธีสั่งซื้อ
1. ซื้อเป็น E book คลิกที่นี่
2. ซื้อหนังสือเป็นเล่ม ได้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ เช่น Se-Ed, B2S, นายอินทร์, book smiles, และอี่นๆ ค่ะ (หากหาหนังสือบนแผงไม่พบ กรุณาสอบถามพนักงานขายนะคะ ;))
3. สามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่บริษัท แบงคอก แมทชิ่ง ค่าจัดส่งไปรษณีย์ในประเทศไทยแบบลงทะเบียน เล่มละ 55 บาท ส่งแบบ EMS เล่มละ 70 บาท
โดยให้โอนเงินราคา 425 บาท/เล่ม บวกค่าใช้จ่ายการจัดส่งที่ต้องการ มายัง
ชื่อบัญชี บริษัท ฮักแต๊แต๊ จำกัด
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาซอยทองหล่อ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 255-1-28273-4
เมื่อโอนเงินเรียบร้อยแล้ว กรุณาสแกน Slip การโอนเงินที่แสดงว่าการโอนเงินเสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น มาที่ order@hugtaetae.com พร้อมชื่อที่อยู่โดยละเอียด และเบอร์มือถือที่ติดต่อสะดวก ที่จะให้จัดส่งหนังสือไปให้ทางไปรษณีย์ด้วยค่ะ
ปกติ จะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 14 วันจากวันที่ชำระเงิน ก็จะได้รับหนังสือค่ะ
ได้โปรดรับทราบว่า บริษัทฯ ไม่มีนโยบายเปลี่ยน/คืนหนังสือ หรือคืนจำนวนเงินที่โอนผิดมาจากความผิดพลาดของผู้สั่งซื้อเองค่ะ แต่สามารถรับหนังสือเล่มอื่นแทนได้
รายได้ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ จะถูกนำไปใช้จ่ายในโครงการ “Make a Wish” Project โครงการหาคู่ฟรีให้คนพิการของเรา |